ในโลกแห่งความผันผวนและไม่แน่นอนนี้ “สายมู” ได้ก้าวข้ามจากความเชื่อส่วนบุคคลไปสู่เมกะเทรนด์ที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ บทความนี้ถอดรหัสอินไซต์จาก The Untold Insights โดย Marketing Oops! และ WPP Media ที่นำเสนอโดย คุณณัฐวีร์ ณีว มาวิจักขณ์ และ คุณแพน จรุงธนาภิบาล เพื่อเจาะลึกว่าอะไรคือแรงผลักดันที่แท้จริงเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ และนักการตลาดจะใช้กลยุทธ์ใดเพื่อเชื่อมโยงกับผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้อย่างชาญฉลาดที่สุด
เมื่อความไม่แน่นอนคือ New Normal ของคนไทย
ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน (Uncertainty) ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงทางการเงิน ไปจนถึงภัยพิบัติ ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับ “ความกังวลใจ” และความรู้สึกว่า “ควบคุมอะไรไม่ได้เลย” ในชีวิตของตนเอง ความสุขที่ลดลงสวนทางกับความเครียดที่เพิ่มขึ้น เมื่อความแน่นอนในชีวิตเลือนหายไป สิ่งที่ตามมาคือการแสวงหา “ที่พึ่งทางใจ” หรือ “ตัวช่วย” ที่จะสร้าง Spiritual Confidence ในการก้าวไปข้างหน้า และนี่คือคำตอบว่า ทำไมความเชื่อเหล่านี้จึงกลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ทรงพลังและเติบโตอย่างไม่มีแผ่ว
ความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ: นิยามใหม่ของ Spiritual Confidence
ในอดีต การพึ่งพาความเชื่ออาจถูกจำกัดอยู่แค่การดูดวงหรือการเข้าวัด แต่ในปัจจุบัน นิยามนี้กว้างกว่ามาก ซึ่งหมายถึง “สิ่งใดก็ตามที่ทำแล้วทำให้เรารู้สึกมั่นใจ เพื่อไปข้างหน้าได้” เมื่อผู้คนรู้สึกว่าตัวเองขาดความสามารถที่จะรับมือกับความผันผวนของโลกได้เพียงพอ พวกเขาจึงต้องหาพลังเสริมที่มองไม่เห็นมาช่วยเสริมแรง
3 เสาหลักที่สั่นคลอน: หัวใจของความกังวลที่คนต้องพึ่งพาความเชื่อ
Insights ชี้ชัดว่า ความมั่นใจของคนไทยจะพุ่งเป้าไปที่ 3 เรื่องหลักๆ ที่รู้สึกว่าไม่มั่นคงที่สุด ซึ่งถือเป็น Universal Question ตลอดกาล:
ความรักและความสัมพันธ์:
ความต้องการให้ความรักดี มั่นคง และไม่สั่นคลอน เป็นเรื่องสำคัญระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการขอพรหรือบนบานศาลกล่าว
การงาน:
ผู้คนกลัวความสั่นคลอนในหน้าที่การงานและธุรกิจ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบถึงพนักงานบริษัท ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในความมั่นคงของอาชีพ
การเงิน:
ความห่วงใยเรื่องสภาพคล่องทางการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หลายคนไม่มั่นใจว่าจะเก็บเงินได้หรือไม่ จะมีเงินไปลงทุน หรือกระทั่งมีเงินใช้จ่ายในวันพรุ่งนี้หรือไม่
ความต้องการที่เปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต (State of Life)
การตลาดที่ได้ผลต้องเข้าใจว่า ความต้องการด้าน “ความมั่นใจ” จะแตกต่างกันไปตาม “สถานะของชีวิต” (State of Life) ของบุคคล ไม่ใช่แค่อายุ ความเชื่อจึงต้องตอบโจทย์ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้:
Identity Builder (วัยเรียน):
กลุ่มนี้ต้องการ การยอมรับ / การมีตัวตน ในสังคม และการมีเพื่อนหรือความสัมพันธ์ที่ดี การพึ่งพาความเชื่อจึงเน้นไปที่การเสริมเสน่ห์หรือดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น
Career Builder (วัยทำงาน):
ความกังวลหลักคือการสร้างตัวตนและการเติบโตในหน้าที่การงาน จึงมุ่งเน้นไปที่ ความก้าวหน้า / ความสำเร็จ ในอาชีพ และการสร้างอิสระทางการเงิน
Family Builder (วัยมีครอบครัว/ลูก):
ความมั่นใจถูกย้ายไปที่ ความมั่นคงของครอบครัว และ อนาคตที่ดีของลูก การพึ่งพาความเชื่อจึงเกี่ยวข้องกับการขอพรให้ลูกประสบความสำเร็จหรือครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
DINK / Couple (กลุ่มคนวัยมีครอบครัวที่เลือกจะไม่มีลูก):
กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ ชีวิตที่ต้องการ คือการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัดหรือตีกรอบจากสังคม การพึ่งพาความเชื่อจึงเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความสุขและการได้เลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง
New Life Builder (วัยเกษียณ):
แม้จะมีเงินมีเวลา แต่ข้อจำกัดด้านสุขภาพเริ่มเข้ามามีบทบาท ความมั่นใจสูงสุดที่ต้องการคือ สุขภาพที่ดี เพื่อให้สามารถใช้เงินและเวลาว่างได้อย่างมีคุณภาพ
เปิดกลยุทธ์ “สายมู 4.0” ขับเคลื่อนด้วย Digital
การพึ่งพาความเชื่อในปัจจุบันได้ก้าวข้ามความเชื่อแบบโบราณ สู่ความเป็น Personalisation และ Accessibility ด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยี ทำให้ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่สนุกและเข้าถึงง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่
Personalisation: ยุคแห่งการพึ่งพาที่ต้องตรงกับคาแร็กเตอร์และธาตุ
การพึ่งพาความเชื่อแบบเดิมคือการเหมาโหล แต่ยุคนี้คือการปรับให้ตรงกับ วันเดือนปีเกิด ธาตุ หรือคาแร็กเตอร์เฉพาะบุคคล ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับพลังงานที่ตรงกับปัญหาของตนเองที่สุด แบรนด์จึงมีโอกาสในการสร้างสินค้าหรือบริการที่ “Tailor-made” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล
Accessibility: AI, Chatbot, และการพึ่งพาความเชื่อที่ง่ายแค่ปลายนิ้ว
การเข้าถึงความเชื่อนั้นง่ายขึ้นมากจนเรียกได้ว่า “มูง่ายแค่ปลายนิ้ว” ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อเครื่องรางทาง E-Commerce, การติดตาม Influencer ผ่าน TikTok/YouTube ที่นำเสนอ Content รายวัน (สีเสื้อมงคล/ข้อควรระวัง) หรือแม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยี:
AI คือที่ปรึกษาส่วนตัว:
ปัจจุบันมีการใช้ AI Chatbot (เช่น Gemini) เพื่อทำนายดวง, จับคู่ดวง หรือให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ ซึ่งสิ่งนี้ถูกมองเป็นทั้ง Entertainment และ ที่พึ่งทางใจ ทำให้การพึ่งพาความเชื่อเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนยุคดิจิทัล
โอกาสสำหรับนักการตลาดและการสื่อสารอย่างชาญฉลาด
การตลาดที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ประสบความสำเร็จต้องไม่เน้นความงมงาย แต่เน้น ความเชื่อมโยง และ ความจริงใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค
สื่อสารอย่างไรให้ไม่ Hard Sale แต่เป็น “ตัวเสริม” ความมั่นใจ
แบรนด์ต้องไม่สื่อสารแค่เรื่องคุณสมบัติ แต่ต้อง “เชื่อมโยง” ผลิตภัณฑ์เข้ากับการเสริมความต้องการของผู้บริโภคใน 3 แกนหลัก (รัก-งาน-เงิน) เพื่อเป็น “ตัวช่วย” สร้างความมั่นใจ:
ตัวอย่าง:
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต สื่อสารเรื่องการเสริมพลังเพื่อ “สุขภาพดี ยืนยาว”
หรือ
ผลิตภัณฑ์ความงามและเครื่องสำอาง สื่อสารเพื่อเสริม “เสน่ห์/โหงวเฮ้ง”
แบรนด์ต้องเข้าใจจังหวะ Short Term (แก้ปัญหาเฉพาะหน้า) และ Long Term (สร้างความมั่นใจในอนาคต) เพื่อออกแบบแคมเปญให้ถูกจังหวะ
ใช้ Data และความจริงใจสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
ใช้ Data เพื่อ Tailor-made:
ใช้ข้อมูล (Data) มาทำความเข้าใจ State of Life และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การสื่อสารนั้น “ถูกที่ ถูกเวลา” และตรงกับปัญหาที่พวกเขาเจอจริงๆ
เน้นความจริงใจ:
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความจริงใจ ในการสื่อสาร แบรนด์ควรทำให้การพึ่งพาความเชื่อเป็นเรื่อง น่ารัก สนุก และเป็นมิตร หลีกเลี่ยงการ Hard Sale หรือเน้นความงมงายจนเกินไป เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน


