พฤติกรรมผู้บริโภค จากการที่โลกต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวและความไม่แน่นอน ได้ผลักดันให้เกิด เทรนด์เลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ ซึ่ง The Untold Insights โดย Marketing Oops! และ GroupM ในรอบนี้ คุณณัฐวีร์ ณีว มาวิจักขณ์ และ คุณแพน จรุงธนาภิบาล จะพาไปวิเคราะห์ว่าทำไมคนไทยจึงมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกในครอบครัว” และโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักการตลาดที่ต้องการคว้าใจกลุ่ม Pet Parents หรือกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ของน้อง ๆ
เมื่อมนุษย์ขาดการเชื่อมต่อ สัตว์เลี้ยงคือการเยียวยา
เทรนด์เลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ มีรากฐานมาจากความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาทดแทนความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปในช่วงที่ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว (Isolate) การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกรรมที่ช่วยเติมเต็มและเยียวยาจิตใจ (Heal) และเกิดเป็น Human to Animals Connection แทนที่ Human to Human Connection ที่ขาดหายไป
พฤติกรรมผู้บริโภค ในยุคปัจจุบันยังสะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อการมีบุตร มนุษย์บางกลุ่มมองว่าการมีลูกมนุษย์นั้น “ยากและน่ากลัวเกินไป” ทำให้พวกเขาเลือกที่จะมี “ลูกเป็นน้องหมาน้องแมว น้องนกดีกว่า” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดนิยามใหม่ของครอบครัวที่มองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกในครอบครัว” โดยสมบูรณ์
การเปลี่ยนสถานะจาก “สัตว์” สู่ “Pet Parents”
การวิเคราะห์อินไซต์เรื่องสัตว์เลี้ยงสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักตามวัตถุประสงค์ในการเลี้ยง ซึ่งประเภทที่ 2 และ 3 คือโอกาสทางธุรกิจหลักในปัจจุบัน:
เลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน (Guard/Utility):
เป็นการเลี้ยงแบบดั้งเดิมที่เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
เลี้ยงเพื่อเป็นลูก/เพื่อน (Family):
ผู้เลี้ยงมีความผูกพันสูง มีการทรีทและเฝ้าระวังสุขภาพเหมือนการเลี้ยงเด็ก
เลี้ยงเพื่อเป็นเทรนด์/โซเชียล (Status):
ผู้เลี้ยงแสวงหาสัตว์หายากหรือมีราคาสูง เพื่อบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม
กลุ่ม Pet Parents ซึ่งครอบคลุมประเภทที่ 2 และ 3 ได้ยกระดับการดูแลเอาใจใส่ให้ละเอียดอ่อนราวกับการเลี้ยงเด็กจริง ๆ ซึ่งแสดงออกผ่านการใช้เทคโนโลยีและการลงทุนด้านบริการ
ในด้าน Digitisation นั้น กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการมอนิเตอร์ตลอดเวลา พวกเขาสามารถตั้งกล้องดูสัตว์เลี้ยงที่บ้านจากมือถือ หรือส่งเสียงไปพูดคุยและควบคุมอุณหภูมิตู้ปลาได้จากระยะไกล นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในบริการระดับมืออาชีพ โดยมีการจ้าง “พี่เลี้ยงสัตว์” (Pet Sitter) คอยรายงานพฤติกรรมและอาการต่าง ๆ ของสัตว์เลี้ยงเหมือนกับการดูแลบุตรหลานจริง ๆ การทรีทและดูแลสุขภาพที่พิถีพิถันเหล่านี้ยังส่งผลต่อ สถานะทางสังคม (Social Status) เพราะคุณพ่อและคุณแม่มักมีความภูมิใจในการ “อวดลูก” และพฤติกรรมการเลี้ยงดูผ่านโซเชียลมีเดีย
Insights ที่แตกต่างตามประเภทสัตว์เลี้ยง
การตลาดสำหรับ Pet Parents ต้องเข้าใจความแตกต่างของกลุ่มผู้เลี้ยง โดยแบ่งตามประเภทสัตว์เลี้ยง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมและอินไซต์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
ทาสแมว มักเป็นคนโลกส่วนตัวสูง (Private) ถึงแม้จะไม่ชอบโซเชียลแบบออกไปพบปะผู้คน แต่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกโซเชียลอย่างสม่ำเสมอเพื่อโพสต์รูปหรือหาข้อมูลแมว ในขณะที่ คนเลี้ยงนก กลับตรงกันข้าม พวกเขามักเป็นคนชอบเข้าสังคม มี Community และมักจัดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การพานกออกไปบินหรือไปทริป
สำหรับ คนเลี้ยงสัตว์ Exotic แม้สัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะไม่สามารถ Connect กับคนได้เหมือนแมวหรือนก แต่คนกลุ่มนี้ชอบโซเชียลและอยากให้คนอื่น ๆ มาสนใจและรัก “ลูก” ของตน พวกเขาจึงมักพาไปออกงานเพื่อให้คนอื่นได้อุ้มหรือถ่ายรูปด้วย ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกแฮปปี้มาก สุดท้าย คนเลี้ยงหมา มีความหลากหลายสูงตามขนาดและสายพันธุ์ การดูแลก็แตกต่างกันไปตาม Status ของสายพันธุ์นั้น ๆ แต่โดยรวมแล้วมักเน้นการพาออกไปโซเชียลนอกบ้านเช่นกัน
โอกาสทางธุรกิจที่ขยายตัวนอกเหนือสินค้าสัตว์เลี้ยงจากอินไซต์
เมื่อสัตว์เลี้ยงถูกมองเป็นลูกอย่างแท้จริง โอกาสทางธุรกิจจึงไม่จำกัดอยู่แค่สินค้าอาหารหรือของเล่น แต่ขยายไปสู่ประสบการณ์และบริการที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์:
Pet-Friendly Experience และธุรกิจบริการ:
คุณพ่อคุณแม่ต้องการแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตกับลูก ๆ ทำให้สถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ Office Building ต้องปรับตัวเป็น “Pet Friendly” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทำกิจกรรมร่วมกับลูก ๆ ในขณะที่เมื่อพ่อแม่ต้องเดินทางไกล ก็เกิดธุรกิจโรงแรมหมา โรงแรมแมว ที่มีบริการดูแลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมระบบ Connection ให้เจ้าของสามารถดูหรือคุยกับสัตว์เลี้ยงได้จากระยะไกล
โอกาสสำหรับแบรนด์ที่ไม่ใช่สินค้าสัตว์เลี้ยง:
กลุ่ม Pet Parents เป็นกลุ่ม Information Seeker แบรนด์จึงสามารถสร้าง Story หรือ Linkage เข้าไปอยู่ในช่วง Searching หรือ Information Finding ของพวกเขาได้ นอกจากนี้ การที่ Family Definition เปลี่ยนไป ทำให้เกิดพฤติกรรม “แบ่งกันกิน” แบรนด์อาหารมนุษย์จึงมีโอกาสพัฒนาเป็น Pet-Friendly Food ได้ด้วย
เน้น Quality และ Trust:
นักการตลาดต้องตระหนักว่าสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงต้องมี Quality และเชื่อถือได้จริง สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง Story และ Activity ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ของน้อง ๆ รู้สึกแฮปปี้และภูมิใจที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับลูก ๆ โดยเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับความชอบและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรมชาติ



